- ชื่อวิทยาศาสตร์ Etlingera elatior (Jack) R.M. Smith
- ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Nicolaia elatior (Jack) Horan.
- ชื่อสามัญวงศ์ Zingiberales
- ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น กาหลา, กะลา, กาลา, จินตะหลา, ข่าน้ำ, หน่อกะลา (ทั่วไป), ปุด, ปุดกะลา (ภาคใต้)
ถิ่นกำเนิดดาหลา
ดาหลาเป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดบริเวณป่าร้อนชื้นของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ไทย พม่า อินโดนีเซีย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เป็นต้น แต่ในตำราบางฉบับก็กล่าวว่าถิ่นกำเนิดของดาหลาอยู่แถบหมู่เกาะในมหาสมุทรอินเดีย
สำหรับในประเทศไทยนั้น คนไทยรู้จักดาหลามานานแล้ว ดังปรากฏหลักฐานต่างๆ เช่น ในวรรณคดีเรื่องลิลิตพระลอ ซึ่งแต่งขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยปรากฏชื่อที่เรียกว่า กาลาปรากฏอยู่ในบทชมดง ร่วมกับต้นไม้ป่าชนิดต่างๆ และในหนังสืออักขราภิธานศรับท์หมอปรัดเล พ.ศ.2416 มีการเรียกกาหลาว่า กะลา โดยมีคำอธิบาย ว่า "กะลา : คือ ผักอย่างหนึ่ง ต้นเท่าด้ามพาย ใบเหมือนข่า ปลูกไว้สำหรับกินหน่อ เป็นต้น และในปัจจุบันสามารถพบดาหลา ได้ทั่วทุกภาคของประเทศ โดยสามารถพบได้ทั้งในธรรมชาติ และพบตามอาคารบ้านเรือน สวนสาธารณะ หรือ การปลูกเพื่อจำหน่ายในสวยในไร่แต่จะพบได้มากทางภาคใต้ เพราะคนในภาคใต้นำดาหลามาใช้ประโยชน์มาตั้งแต่ในอดีตแล้ว
ประโยชน์และสรรพคุณดาหลา
- ใช้ขับลม
- แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ
- แก้ลมพิษ
- แก้โรคผิวหนัง
- แก้ท้องเสีย
- แก้เสมหะ
- แก้ปวดศีรษะ
- แก้ความดันสูง
- แก้เลือดออกตามไรฟัน
- แก้โรคประดง
- ช่วยบำรุงธาตุไฟ
- แก้แน่นหน้าอก
- ช่วยต้านอนุมูลอินสะ
- แก้ลมแน่นหน้าอบ
- ช่วยต้านมะเร็ง
- ช่วยป้องกันโรคเก๊าท์
รูปแบบและขนาดวิธีใช้
ช้เป็นยาขับลม แก้ท้องอืด แก้ท้องเสีย โดยใช้กลีบดอกสด หรือ แห้ง 10-15 กลีบ มาต้นน้ำดื่ม ใช้แก้ลมพิษ และโดยใช้เหง้าใต้ดินโขลกผสมเหล้าโรงแล้วคั้นเอาน้ำมาบริเวณที่เป็น วันละ 2-3 เวลา ใช้แก้ประดง แก้ผดผื่นคันตามตัว โดยใช้เหง้ามาต้มกับน้ำดื่ม และใช้อาบด้วย ใช้บำรุงธาตุ ขับเสมหะ แก้ลมแน่นหน้าอบ โดยใช้หน่ออ่อน หรือ ดอกมาประกอบอาหารรับประทาน
ลักษณะทั่วไปของดาหลา
ดาหลา จัดเป็นไม้ล้มลุก มีลำต้นหรือเหง้าอยู่ใต้ดิน เหง้านี้จะเป็นบริเวณที่เกิดของหน่อดอก และหน่อต้น ส่วนลำต้นเหนือดินเป็นกาบใบที่โอบซ้อนกันแน่นคล้ายข่า เรียกว่าลำต้นเทียม โดยลำต้นเทียมที่อยู่เหนือดินจะมีสีเขียวเข้มสูงประมาณ 2-5 เมตร ใบออกเป็นใบเดี่ยวมีลักษณะคล้ายใบข่า เป็นรูปทรงยาวเรียว ปลายใบแหลม โคนใบสอบแคบเข้าหาก้านใบ ใบกว้างราว 15-20 เซนติเมตร ยาวราว 30-40 เซนติเมตร ไม่มีก้านใบ ใบเป็นสีเขียวเข้มเป็นมันผิวใบเกลี้ยง ดอกออกเป็นดอกเดี่ยวเป็นช่องอกขึ้นจากเหง้าใต้ดินก้านดอกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 เซนติเมตร และยาว 50-150 เซนติเมตร ส่วนกลีบดอกจะหนา ผิวเรียบเป็นมันวาวคล้ายพลาสติก กลีบดอกด้านนอกมีขนาดใหญ่ แล้วค่อยๆ ลดขนาดลงเข้าสู่ด้านใน ตรงศูนย์กลางดอกเป็นเกสร เกาะติดกันเป็นกลุ่ม ใบประดับรอบนอกแผ่น ใบประดับชั้นใน มีขนาดลดหลั่นกัน เกสรผู้ที่เป็นมันสีเลือดหมูเข้ม ขอบขาว หรือ เหลือง เกสรเพศผู้ที่สมบูรณ์มี 1 อัน อับเรณูสีแดง และเมื่อดอกบานเต็มที่จะมีขนาดความกว้างประมาณ 10-16 เซนติเมตร ส่วนสีของดอกนั้นขึ้นอยู่กับสายพันธุ์โดยในปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 4 สายพันธุ์ ได้แก่ พันธุ์ดอกสีชมพูสีแดง สีขาว และสีชมพูอ่อน ผลรูปกลม มีขนนุ่มข้างในมีเมล็ดสีดำหลายเมล็ด
การขยายพันธุ์ดาหลา
ดาหลาสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น การแยกหน่อ, การแยกเหง้า, การใช้เมล็ด เป็นต้น แต่วิธีที่เป็นนิยมในปัจจุบันคือการแยกหน่อ โดยมีวิธีการดังนี้
แยกหน่อที่มีความสูงประมาณ 60-100 ซ.ม. ขึ้นไป โดยใช้กึ่งแก่ที่มีในติดอยู่ประมาณ 4-5 ใบ จากนั้นใช้มีดตัดให้มีเหง้า และควรมีรากติดอยู่ด้วย ซึ่งหน่อแก่นี้จะมีหน่อดอกอ่อนๆ ติดมาด้วยประมาณ 3 หน่อ แล้วนำไปในถุงพลาสติก 1 เดือน เพื่อให้หน่อแข็งแรงก่อนนำไปปลูกต่อไป จากนั้นทำการขุดยกร่องสวน โดยใช้แปลงปลูกว้าง 2-3 เมตร ความยาวตามขนาดของพื้นที่ และมีการไถพรวนตากดินไว้ประมาณ 5-7 วัน เก็บวัชพืชออกให้หมด จากนั้นใส่ปุ๋ยคอกรองก้นหลุม ปลูกลงในหลุมที่เตรียมไว้ แล้วทำการกลบดินให้สูงประมาณ 6 นิ่ว รดน้ำให้ และควรหาไม้หลักมาผูกติดกับลำต้นกันต้นโยก สำหรับระยะการปลูกดาหลาจะไม่มีระยะปลูกที่แน่นอน แต่โดยส่วนใหญ่แล้วเกษตรกรจะปลูกในระยะ 2x2 เมตร
สำหรับในระยะเริ่มแรกของการปลูก ควรรดน้ำให้ชุ่ม วันละ 1 ครั้ง เมื่อต้นดาหลา ตั้งตัวได้อาจเว้นระยะห่างของการให้น้ำจากวันละครั้งออกไปเป็นประมาณ 2-3 วันต่อครั้ง
การศึกษาทางเภสัชวิทยาของดาหลา
ฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งสารสกัดน้ำ และสารสกัดเอทานอลจากส่วนดอกมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งเต้านมชนิด MCF-7 และชนิด MDA-MB-231 ได้ดีในขณะที่สารสกัด 50% hydroglycol จากส่วนดอกดาหลา มีฤทธิ์กระตุ้นการตายของเซลล์มะเร็งผิวหนังเมลาโนมา (melanoma cell) ชนิด B16 ซึ่งพบว่าประสิทธิภาพจะขึ้นกับขนาด และระยะเวลาที่ให้โดยสารสกัดมีผลทำให้เซลล์เกิดการตายแบบ apoptosis ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ในการนำไปพัฒนาเป็นยา หรือ ผลิตภัณฑ์สำหรับต้านมะเร็งดังกล่าว
ฤทธิ์ต้านจุลชีพสารสกัดน้ำ และสารสกัดเอทานอล จากส่วนดอกมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียหลายชนิด เช่น Staphylococcus aureus, Bacillus subtilis, Listeria monocytogenes, Escherichia coli, Salmonella typhimurium และ Pseudomonas aeruginosa โดยมีค่า minimal inhibitory concentrations (MIC) อยู่ในช่วง 30 -100 µg/mL และน้ำมันหอมระเหย จากส่วนดอกก็มีฤทธิ์ต้านจุลชีพหลายชนิดเช่นกัน โดยพบว่ามีฤทธิ์ต้าน S.aureus, B. cereus, Candida albicans และ Cryptococcus neoformans
ฤทธิ์ลดระดับกรดยูริกในเลือดสาร polyphenol และ flavonoidจากดอกดาหลา มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ xanthine oxidase ซึ่งช่วยลดระดับของกรดยูริก (uric acid) โดยมีทดลองในหนูแรทพบว่าเมื่อให้หนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้มีระดับของกรดยูริกในเลือดสูงด้วย beef broth กินสารสกัดน้ำจากส่วนดอกขนาด 200 มก./กก. เปรียบเทียบผลกับยา allopurinol ขนาด 180 มก./กก. พบว่าสารสกัดดังกล่าว สามารถลดความเข้มข้นของกรดยูริกในเลือดได้แม้ประสิทธิภาพจะน้อยกว่ายามาตรฐานก็ตาม
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทำการทดสอบในหนูแรทที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดความผิดปกติที่ไขกระดูกด้วยการป้อนน้ำที่มี lead acetate ความเข้มข้น 500 ppm นาน 14 วัน แล้วป้อนสารสกัดเอทานอลจากส่วนดอกดาหลาขนาด 100 มก./กก.น้ำหนักตัว ในหนูพบว่าสารสกัดดังกล่าวทำให้ lipid hydroperoxides และ protein carbonyl ที่เพิ่มขึ้นจากการเหนี่ยวนำด้วย lead acetate มีระดับลดลง ทำให้สารต้านอนุมูลอิสระ และเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังยับยั้งการทำลายไขกระดูกของ lead acetate ด้วย แสดงให้เห็นว่าดอกดาหลามีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระที่ดีและสามารถปกป้องไขกระดูกจากการถูกทำลายด้วย lead acetate ได้
การศึกษาทางพิษวิทยาของดาหลา
ยังไม่มีการรายงานความเป็นพิษของดาหลา อีกทั้งการรับประทานในรูปแบบของอาหารก็มีความปลอดภัยสูง
ข้อแนะนำและข้อควรระวัง
ผู้ที่มีประวัติการแพ้ขิง ข่า ไพล หรือ พืชในวงศ์ ZINGIBERACEAE (ขิง, ข่า, ขมิ้น, ไพล) ควรเพิ่มความระมัดระวังในการรับประทานดาหลา เนื่องจากเป็นพืชวงศ์เดียวกัน
ดาหลา ถือเป็นพืชที่มีการนำมาใช้เป็นอาหารอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน และยังมีความปลอดภัยค่อนข้างสูงหากนำมารับประทานในรูปแบบของอาหาร แต่ในการนำมาใช้ในรูปแบบของสมุนไพร ก็ควรระมัดระวังของสมุนไพร ก็ควรระมัดระวังในการใช้เช่นเดียวกันกับสมุนไพรชนิดอื่นๆ โดยอาจใช้ในปริมาณที่พอดีที่ระบุไว้ในตำรายาต่างๆ ไม่ควรใช้มากจนเกินไป หรือใช้ติดต่อกันนานจนเกินไป เพราะอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ สำหรับ เด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคเรื้อรังรวมถึงผู้ที่ต้องรับประทานยาต่อเนื่องเป็นประจำก่อนจะใช้ดาหลาเป็นสมุนไพร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้เสมอ
ข้อมูลจาก :https://www.disthai.com/