ผู้เป็นโรคเก๊าท์ไม่ควรกินผักและผลไม้ใดบ้าง?

โรคเกาต์ นิ่วในไต ภาวะเลือดเป็นกรด รวมทั้งความเสี่ยงโรคต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้เป็นผลพวงมาจากกรดยูริกในอาหาร แต่ถ้าใครคิดจะเลี่ยงเนื้อสัตว์มากินผักก็ต้องระวัง เพราะก็มีธัญพืช ผลไม้ และผักที่กรดยูริกสูงอยู่เหมือนกัน

          กรดยูริก ชื่อนี้หลายคนคงรู้จักกันดี เพราะเจ้ากรดชนิดนี้เป็นสาเหตุสำคัญของโรคเกาต์ ที่สร้างความเจ็บปวดทรมานให้ผู้ที่เป็น โดยหลาย ๆ คนมักจะคิดว่าการมีกรดยูริกในร่างกายสูงนั้นเกิดมาจากการรับประทานโปรตีนประเภทเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียว อยากให้รู้ว่าผิดถนัดเลยล่ะ เพราะแท้จริงแล้วพืชผัก หรือธัญพืชบางชนิดก็มีตัวกระตุ้นการสร้างกรดยูริกอย่างสารพิวรีนในร่างกาย ที่หากรับประทานเข้าไปมาก ๆ ก็ทำให้มีกรดยูริกในร่างกายสูงได้เช่นกัน วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำเสนอเรื่องอันตรายของกรดยูริก และผักที่มีกรดยูริกสูง อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัวเพราะอันตรายจากกรดยูริกนั้นจู่โจมคุณได้ทุกเมื่อ

อันตรายจากกรดยูริก อันตรายกว่าที่คิด

           กรดยูริกเป็นผลพวงที่เกิดมาจากการย่อยสลายของสารพิวรีน (Purines) ในร่างกาย โดยสารพิวรีนนั้นก็มีต้นกำเนิดมาจากการย่อยโปรตีนในร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้วในร่างกายของเราควรจะต้องมีกรดยูริกไม่เกิน 2.3-7.1 มิลลิกรัม ต่อเลือด 100 มิลลิลิตร แต่ถ้าหากเกิดความผิดปกติขึ้นกับระบบการย่อยโปรตีน ก็จะทำให้ร่างกายสร้างกรดยูริกออกมามากกว่าปกติและทำให้เกิดอันตรายกับอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งก่อให้เกิดโรคร้ายแรงตามมาอีกด้วย โดยอาการที่สามารถเห็นได้ชัดเมื่อกรดยูริกในร่างกายสูงขึ้นผิดปกติก็คือ หูอื้อ มีเสียงดังในหู และเวียนหัวเหมือนบ้านหมุนได้ เนื่องจากเส้นเลือดหดตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับหูและการทรงตัวได้ไม่เต็มที่นั่นเอง ทั้งนี้ หากมีกรดยูริกสะสมในร่างกายมากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ดังนี้

โรคเกาต์ (Gout)

          โรคเกาต์นั้นมีสาเหตุโดยตรงมาจากภาวะกรดยูริกในร่างกายสูง ซึ่งภาวะกรดยูริกสูงนั้นเกิดได้จาก 2 สาเหตุก็คือ รับประทานโปรตีนมากเกินไปจนทำให้ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้หมด จนทำให้ระบบย่อยโปรตีนมีปัญหาและสร้างกรดยูริกออกมาในปริมาณที่มากกว่าปกติ ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็มาจากความผิดปกติของยีนในร่างกายซึ่งเกี่ยวข้องกับการย่อยโปรตีน โดยศูนย์การแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ เปิดเผยว่า เมื่อกรดยูริกในร่างกายสูงขึ้น ร่างกายก็ไม่สามารถกำจัดออกจากร่างกายได้หมด กรดเหล่านี้ก็จะตกผลึกในกระเพาะปัสสาวะ หรือไปเกาะอยู่ตามข้อต่อต่าง ๆ โดยเฉพาะบริเวณเท้าและมือ ไปกดให้เนื้อเยื่อเกิดการอักเสบ ทำให้เกิดอาการปวด จากนั้นก็จะเกิดอาการข้ออักเสบและบวม ซึ่งเราเรียกอาการนี้ว่า โรคเกาต์นั่นเอง

ภาวะเลือดเป็นกรด (Metabolic Acidosis)

          ภาวะเลือดเป็นกรดถือเป็นอาการที่อันตรายร้ายแรง ซึ่งมีสาเหตุมาจากภาวะกรดยูริกในเลือดสูง เนื่องมาจากร่างกายไม่สามารถกำจัดกรดยูริกออกจากร่างกายได้หมดและเหลือตกค้างเป็นจำนวนมาก อาการที่สามารถเห็นได้ชัดก็คือ จะหายใจถี่ขึ้น มีอาการมึนงงสับสน ซึม ช็อก และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ แต่อาการเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเฉียบพลัน หากจะเกิดจากการสะสมของกรดยูริกเป็นเวลานาน

นิ่วในไต (Kidney Stone)

          เมื่อกรดยูริกสะสมอยู่ในไตมากเกินไปก็อาจจะเกิดการตกผลึกและเกาะตัวกันเป็นก้อนนิ่วอยู่ในกระเพาะปัสสาวะ และสามารถสร้างความเจ็บปวดให้ได้ไม่น้อย และวิธีการรักษาเดียวก็คือการผ่าตัดนำก้อนนิ่วนั้นออก นอกจากนี้เมื่อผ่าตัดแล้วก็จำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร เนื่องจากนิ่วนั้นสามารถเกิดซ้ำได้ หากไม่ระมัดระวัง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ในครอบครัวที่มีประวัติเป็นนิ่วในไตมาก่อน 

          จริง ๆ แล้วการหลีกเลี่ยงภาวะกรดยูริกสูงที่ดีที่สุดก็คือการหลีกเลี่ยงการรับประทานโปรตีน แต่หารู้ไม่ว่าแม้จะเลี่ยงการรับประทานโปรตีนแล้ว การหันมารับประทานบรรดาพืชและผักชนิดต่าง ๆ ก็ยังต้องเลือกให้ดี เพราะบรรดาพืชที่เราคิดว่ามีประโยชน์นั้นบางชนิดก็มีกรดยูริกสูงแบบอันตรายสุด ๆ เอาไว้ด้วยล่ะ อย่างเช่นที่เอกสารทางวิชาการอย่าง Food Composition and Nutrition Tables ได้เปิดเผยปริมาณของกรดยูริกในผัก ผลไม้ และธัญพืชไว้ดังนี้

          ก็เรียกว่าปริมาณของกรดยูริกนั้นไม่น้อยเลยเชียวล่ะ สำหรับคนป่วยยังไงก็ควรลดปริมาณกันดีกว่า เพราะถ้าหากรับประทานบ่อย ๆ และมาก ๆ เข้า ก็อาจจะไปสะสมทำให้เกิดภาวะกรดยูริกในร่างกายสูงได้ ทางที่ดีคือ เลือกรับประทานผักให้หลากหลายชนิด สลับสับเปลี่ยนกันไป จะได้ไม่มีสารอะไรตกค้างในร่างกายในปริมาณที่มากจนเกินไป

          กรดยูริกแม้จะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยดีกับร่างกาย แต่ถ้าหากควบคุมให้อยู่ในระดับที่ปกติได้ ร่างกายของเราก็จะไม่มีความผิดปกติใด ๆ ดังนั้นอย่ารอให้เกิดอาการก่อนแล้วค่อยมาปรับตัว เพราะถ้าถึงตอนนั้นแล้วเราก็คงต้องใช้เวลากันอีกนานกว่าร่างกายจะกลับมาสมบูรณ์แข็งแรงกันอีกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาเลย เพราะแค่สุขภาพที่เสียไปก็ไม่คุ้มกันแล้วนะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล


สมุนไพรลดกรดยูริก

  1. น้ำรางจืด นำใบรางจืดประมาณ 4-5 ใบ ต้มพร้อมใบเตยสดหั่น 1กำมือในนำสะอาด 2ลิตร จะช่วยล้างกรดยูริกและสารพิษออกจากเลือด
  2. น้ำย่านาง นำใบย่านางมาตำให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำ แล้วกรองด้วยผ้าขาว การดื่มน้ำย่านางจะช่วยลดอาการปวดเก๊าท์และลดกรดยูริก
  3. น้ำมะนาวน้ำผึ้ง สูตรล้างพิษที่ทำได้ง่าย นอกจากจะช่วยลดกรดยูริกแล้ว ถ้าดื่มตอนท้องว่างจะช่วยล้างลำไส้ได้ดีอีกด้วย
  4. น้ำมะกรูด นำน้มมะกรูดคั้นสด ผสมกับน้ำอุ่นและเกลือ ดื่ามตอนยท้องว่างก่อนอาหารเช้า ช่วยล้างพิษ ลดกรดยูริกและอาการข้อบวม
  5. น้ำตระไคร้ ต้มตระไคร้สดกับใบเตย ดื่มแทนน้ำเปล่าทั้งวัน ช่วยลดสารพิษในเลือด ลดกรดยูริกและฟอกเลือด ฟอกน้ำเหลือง
  6. กระสัง นำมาต้มกินเพื่อรักษาโรคเกาต์ อาการปวดข้อ และข้ออักเสบ โดยการนำผักกระสังต้นยาวสัก 20 เซนติเมตร นำมาต้มกับน้ำ 2 แก้ว ให้เหลือประมาณ 1 แก้ว ใช้แบ่งรับประทานครั้งละครึ่งแก้ว เช้าและเย็น
  7. ลูกใต้ใบ รักษาอาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ใช้ในการขับปัสสาวะ ช่วยลดความดันโลหิต ขับก้อนนิ่ว และขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะในผู้ป่วยโรคเกาต์

ใช้ต้นสดๆ ปรุงเป็นยาได้เลย วิธีง่ายๆ เพียงนำมาทั้งต้นล้างน้ำให้สะอาด นำมาต้มหรือชงกิน ถ้าปรุงยากันตามตำราแล้ว การใช้เพื่อรักษาโรคจะใช้ลูกใต้ใบสดๆ ทั้งห้า (คือใช้ทั้งต้น รวมใบ ดอก ลูก ลำต้น และรากนั่นเอง) หนึ่งกำมือ (ถ้าต้นแห้งก็กะประมาณเหลือครึ่งหนึ่ง) ผสมน้ำ 3 แก้ว นำมาต้มเคี่ยวไปเรื่อยๆ ให้เหลือ 1 แก้ว มีสรรพคุณใช้ในการแก้ไข้ แก้ดีซ่าน กินละครั้งละ 1/2-1 แก้ว วันละ 3-4 เวลาก่อนอาหาร แต่ถ้าคนที่รู้จักสรรพคุณลูกใต้ใบอย่างดีก็จะรู้ว่าใช้เพื่อบำรุงร่างกาย แก้ปวดเมื่อยปวดหลัง ปวดเอวได้ด้วย ดังนั้น ให้นำมาชงน้ำกินแบบน้ำชา