มันเทศ


  • ชื่อสามัญ Sweet potato มันเทศ 
  • ชื่อวิทยาศาสตร์ Ipomoea batatas (L.) Lam. (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Convolvulus batatas L.) จัดอยู่ในวงศ์ผักบุ้ง (CONVOLVULACEAE)
  • ชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า มันแกว (ตาก), ยอดมันแกว (น่าน), ยอดมันเทศ (มุกดาหาร), มันหลา (ปัตตานี), ยอดมันหลอง (ภูเก็ต), มันแกว มันแก๋วแดง (ภาคเหนือ), มันเทศ (ภาคกลาง), หมักอ้อย (ละว้า-เชียงใหม่), แตลอ (มลายู-นราธิวาส), มัน (ไทใหญ่), มันแก๋ว (ไทลื้อ), ฟั่นด้อย (เมี่ยน), ด่อมังปร้างเร่น (ปะหล่อง), ฮวงกั้ว (จีน) เป็นต้น
มัน จะมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด คือ ชนิดหวานและชนิดไม่หวาน โดยชนิดหวานเราจะเรียกว่า “มันเทศ” (Sweet potato) ส่วนชนิดไม่หวานเราจะเรียกว่า “มันฝรั่ง” (Irish potato)

ลักษณะของมันเทศ 

ต้นมันเทศ มีถิ่นกำเนิดในบริเวณเขตร้อนของทวีปอเมริกา โดยจัดเป็นไม้ล้มลุกเลื้อยพันมีอายุหลายปี มีความยาวได้ถึง 5 เมตร มีน้ำยางสีขาว ลำต้นทอดเลื้อย มีรากสะสมอาหารมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก รากมันเทศมีระบบรากเป็นแบบรากฝอย ซึ่งจะเกิดจากข้อของลำต้นที่ปลูก หรือเกิดจากลำต้นที่ทอดเลื้อยไปตามพื้นดิน รากมันเทศจะเป็นที่สะสมอาหาร และสามารถใช้รับประทานได้ เป็นพืชที่เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุยระบายน้ำดี และชอบแสงแดดจัด โดยพืชที่อยู่ในวงศ์นี้จะพบได้มากในแถบเส้นศูนย์สูตรและภายใต้แถบศูนย์สูตร ส่วนในประเทศไทยมีปลูกกันทั่วไป แต่ส่วนใหญ่แหล่งปลูกจะเป็นจังหวัดในภาคกลาง โดยจังหวัดที่ปลูกมันเทศมาก ได้แก่ เชียงใหม่ เลย นครสวรรค์ พระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นครปฐม เพชรบุรี นครศรีธรรมราช สงขลา และตรัง

หัวมันเทศ มันเทศจะลงหัวในระดับความลึกไม่เกิน 9 นิ้วโดยหัวของมันเทศจะเกิดจากการขยายตัวของราก ซึ่งเนื้อเยื่อภายในรากที่เรียกว่า “พาเรนไคมา” (Parenchyma) เป็นส่วนที่สะสมแป้ง รากที่ขยายตัวเป็นหัวขึ้นมาอาจจะเกิดจากรากของลำต้นที่ใช้ปลูก หรืออาจเกิดจากรากที่เกิดจากข้อของลำต้นที่เลื้อยทอดไปตามพื้นดินก็ได้ ดังนั้นต้นมันเทศหนึ่งต้นอาจจะมีหัวได้หลายหัว หรือมากกว่า 50 หัว โดยลักษณะของหัวส่วนมากจะมีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก หัวเรียว ท้ายเรียว ส่วนตรงกลางป่องออก และสีผิวของหัวและสีของเนื้อในหัวจะแตกต่างกันไปตามสายพันธุ์ โดยอาจจะเป็นสีแดง สีเหลือง สีขาว หรือสีนวล และมักจะมีรากแขนงเกิดในร่องของหัว ผิวของหัวอาจจะเรียบหรือขรุขระ หัวมันเทศนอกจากจะให้อาหารจำพวกแป้งแล้ว ยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ (โดยเฉพาะในหัวสีเหลือง) วิตามินบี และวิตามินซีอีกด้วย

ใบมันเทศ เป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับบนข้อของลำต้น ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กว้างแกมรูปโล่ ใบจะมีขนาดและรูปร่างต่างกันแม้จะอยู่ในต้นเดียวกันก็ตาม เพราะบางใบอาจมีขอบใบเรียบ บางใบอาจเป็นรูปหัวใจ หรือบางใบจะมีหลายแฉก โดยปกติแล้วขอบใบจะเว้าลึกเป็นแฉก 3-7 แฉก ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-11 เซนติเมตรและยาวประมาณ 3-15 เซนติเมตร ผิวใบเรียบหรือมีขนเล็กน้อย และมักจะมีสีม่วงตามเส้นใบ ก้านใบอาจยาวหรือสั้นขึ้นอยู่กับสายพันธุ์

ดอกมันเทศ ต้นที่ปลูกในเขตอบอุ่นมักจะไม่มีดอก ส่วนต้นที่ปลูกในเขตร้อนจะออกดอก แต่มักจะไม่ติดเมล็ด ออกดอกเป็นช่อ โดยดอกจะออกตามซอกใบ มีก้านช่อดอกแข็งแรง ซึ่งมักจะยาวกว่าก้านใบ โดยมีความยาวประมาณ 3-18 เซนติเมตร เป็นสัน เกลี้ยงหรือมีขน ส่วนก้านดอกยาวประมาณ 3-12 มิลลิเมตร มีดอกย่อยหลายดอก กลีบดอกเป็นสีชมพูปนสีม่วง มีกลีบดอก 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปกรวย ยาวประมาณ 3-4.5 เซนติเมตร มีลักษณะคล้ายกับดอกผักบุ้ง ดอกมีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ ลักษณะเป็นรูปขอบขนาน กลีบดอกนอกยาว 7-12 มิลลิเมตร ปกติแล้วกลีบจะแยกจากกันอย่างอิสระหรืออาจจะเชื่อมกันที่โคน ดอกมีเกสรเพศผู้ 5 ก้านและแยกจากกันอย่างอิสระ ก้านชูอับเกสรเพศผู้จะเรียกว่าก้านอับเกสร โดยจะมีความยาวไม่เท่ากันและเชื่อมติดกันอยู่กับฐานของกลีบดอก ส่วนรังไข่มี 2 ส่วน บางดอกอาจมี 4 ส่วน ในแต่ละส่วนจะมีไข่ 1-2 อันที่รับละอองเกสรเพศผู้ มี 2 แฉกอยู่ที่ก้าน เชื่อมติดกับรังไข่

ผลมันเทศ ผลแห้งและแตกได้แบบไม่เป็นระเบียบ ผลมีเปลือกแข็งหุ้ม ลักษณะของผลเป็นแบบแคปซูล มีช่อง 4 ช่องหรือน้อยกว่านั้น ภายในเปลือกแข็งจะมีเมล็ดขนาดเล็กสีดำ ลักษณะของเมล็ดค่อนข้างแบน ด้านหนึ่งของเมล็ดจะเรียบ ส่วนอีกด้านจะเป็นเหลี่ยม โดยทางด้านเรียบจะเห็นรอยที่เมล็ดติดกับผนังรังไข่ที่เรียกว่า “ไฮลัม” (Hilum) และมีรูเล็ก ๆ ที่เรียกว่า “ไมโครไพล์” (Micropyle) ส่วนเปลือกของเมล็ดค่อนข้างหนาและน้ำซึมผ่านได้ยาก

สรรพคุณของมันเทศ 

  1. หัวมันเทศช่วยลดไขมันในเลือดได้ ด้วยการนำผลมาปรุงเป็นอาหารรับประทาน (หัว)
  2. หัวใช้ชงกับน้ำดื่มช่วยแก้กระหายน้ำ (หัว)
  3. หัวใช้ชงกับน้ำดื่มช่วยแก้เมาคลื่นได้ (หัว)
  4. รากเป็นยาระบาย (ราก)
  5. หัวเป็นยาแก้บิด (หัว)
  6. หัวใช้ชงกับน้ำดื่มช่วยบำรุงม้ามไต (หัว)
  7. น้ำคั้นจากหัวใช้เป็นยาทาแก้แผลไฟไหม้ได้ (หัว)
  8. ใบใช้ตำพอกรักษาฝีได้ หรือจะใช้ใบตำผสมกับเกลือใช้พอกฝีก็ได้ ส่วนตำรับยาพื้นบ้านล้านนาจะใช้ยอดและใบมันเทศนำมาตำผสมกับยอดและใบผักขมใบแดงเป็นยาพอกฝี (ยอดและใบ)
  9.  ตำรายาไทยจะใช้หัวนำมาตำให้ละเอียดใช้พอกแผล รักษาเริม และงูสวัด (หัว)
  10. ทั้งต้นและหัวมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา (ทั้งต้น, หัว)
  11. หัวใช้ตำพอกเป็นยาถอนพิษรักษาแผล ช่วยเร่งการสมานแผล (หัว)
  12. รากและใบใช้ตำพอกบาดแผล แก้พิษแมลงป่อง (รากและใบ)
  13. เถาใช้ต้มกับน้ำดื่มเป็นยาแก้ไขข้ออักเสบ (เถา)
  14. ยอดอ่อนนำมาแกงให้สตรีหลังคลอดบุตรรับประทานจะช่วยทำให้มีน้ำนม (ยอดอ่อน)
รักษาภาวะขาดวิตามิน เอ

วิตามิน เอ มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพ ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยป้องกันการเจ็บป่วยด้วยโรคและอาการบางชนิด หากร่างกายขาดวิตามิน เอ อาจเสี่ยงเผชิญภาวะอาการป่วยที่เป็นอันตรายได้ ในมันเทศอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีนที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นวิตามิน เอ โดยเฉพาะมันเทศสีเหลือง การรับประทานมันเทศ 100 กรัม ทำให้ได้รับวิตามินเอในปริมาณที่ควรบริโภคต่อวันอย่างเพียงพอแล้ว

จากข้อมูลดังกล่าว จึงมีงานทดลองที่พิสูจน์ประสิทธิผลการบริโภคมันเทศต่อภาวะขาดวิตามินเอ ผลการวิจัยพบว่า การรับประทานมันเทศและอาหารที่มีวิตามินเอสูงทุกวันเป็นผลดีต่อผู้ที่มีความเสี่ยงเผชิญภาวะขาดวิตามินเอ ในขณะที่อีกงานค้นคว้าหนึ่งซึ่งทดลองในกลุ่มเด็กอายุ 5-10 ปี พบว่าการบริโภคมันเทศเนื้อสีส้มช่วยเพิ่มระดับวิตามินเอในร่างกายมากกว่ามันเทศเนื้อสีขาว

จากผลการทดลองดังกล่าว อาจสรุปได้ว่าการบริโภคมันเทศช่วยป้องกันภาวะขาดวิตามินเอได้ดี โดยเฉพาะมันเทศเนื้อสีส้ม ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศด้อยพัฒนาหรือประเทศกำลังพัฒนาอาจนำประสิทธิผลในด้านนี้ไปประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหาขาดแคลนอาหาร จนพลเมืองต้องเผชิญภาวะขาดสารอาหาร เพื่อบรรเทาและป้องกันภาวะขาดวิตามินเอต่อไป เนื่องจากมันเทศมีวิตามินเอสูง มีราคาถูก และบริโภคง่าย

ป้องกันอาการท้องผูก

หลายคนมีปัญหาท้องผูกจากหลายสาเหตุ ทั้งพฤติกรรมการรับประทานอาหาร การใช้ชีวิต รวมทั้งอาการเจ็บป่วยที่ส่งผลกระทบต่อระบบขับถ่าย มันเทศเป็นพืชที่อุดมไปด้วยเส้นใยอาหารและน้ำ จึงเชื่อว่าการบริโภคมันเทศอาจช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายและแก้ปัญหาท้องผูกได้ จากงานวิจัยที่ให้ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวลูคีเมียบริโภคมันเทศในระหว่างเข้ารับการรักษาด้วยเคมีบำบัดเป็นครั้งแรก ผลการทดลองพบว่ามันเทศช่วยป้องกันอาการท้องผูกในผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ อย่างไรก็ตาม การทดลองดังกล่าวเป็นงานวิจัยขนาดเล็กที่ศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวลูคีเมียเท่านั้น จึงควรมีการค้นคว้าเพื่อพิสูจน์ประสิทธิผลในด้านนี้ต่อไปในอนาคต

รักษาโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หรือร่างกายดื้อต่อฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลต่อกระบวนการดูดซึมน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงานของเซลล์ในร่างกายมีความผิดปกติ และอาจทำให้เกิดอาการป่วยต่าง ๆ ตามมา เนื่องจากมันเทศมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์หลายชนิด จึงเชื่อว่ามันเทศอาจมีประโยชน์ต่อการลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ มีงานค้นคว้าในด้านนี้และพบว่า จากการทดลองให้สารสกัดจากมันเทศเนื้อสีขาวในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ทั้งก่อนและหลังการให้ยาอินซูลิน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยลดลง จึงอาจสรุปได้ว่า สารสกัดจากมันเทศสีขาวเป็นประโยชน์ในเชิงการรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยการทำให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม การทดลองดังกล่าวเป็นเพียงการทดลองขนาดเล็กในกลุ่มผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เท่านั้น จึงควรมีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมต่อไป เพื่อประโยชน์ทางการรักษาโรคเบาหวานในอนาคต

รักษาและป้องกันโรคมะเร็ง

โรคมะเร็งเป็น 1 ในโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้ป่วยทั่วโลก ในมันเทศมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เชื่อว่าอาจช่วยชะลอหรือยับยั้งการเกิดเซลล์มะเร็งได้ ดังนั้น จึงมีการทดลองนำสารประกอบฟิวแรนจากมันเทศไปรักษาผู้ป่วยมะเร็งเซลล์ตับ (Hepatocellular Carcinoma: HCC) ระยะลุกลาม แต่ผลการทดลองพบว่าสารประกอบที่ได้จากมันเทศไม่ส่งผลต่อการรักษาผู้ป่วยมะเร็งกลุ่มนี้แต่อย่างใด

ในทางตรงข้าม อีกงานวิจัยหนึ่งที่ทดลองในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนพบว่า การบริโภคมันเทศอาจช่วยให้ร่างกายปรับฮอร์โมนเพศ ระดับไขมันในเลือด และช่วยต้านสารอนุมูลอิสระซึ่งอาจเป็นสาเหตุของมะเร็งได้ จึงสรุปได้ว่ามันเทศอาจช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านมกับโรคหัวใจและหลอดเลือดในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนได้

อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันยังคงไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เพียงพอจะพิสูจน์สมมติฐานด้านประสิทธิภาพของมันเทศต่อการรักษาและป้องกันโรคมะเร็ง จึงควรมีการค้นคว้าต่อไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์สูงสุดในทางการแพทย์

ป้องกันภาวะตับอักเสบ

ตับอักเสบเป็นภาวะอักเสบที่เกิดบริเวณตับ อาจทำให้เกิดอาการป่วยต่าง ๆ และหากตับอักเสบเรื้อรังก็อาจนำไปสู่ภาวะที่เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ มันเทศประกอบด้วยสารอาหารต่าง ๆ ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จึงมีการทดลองให้ชายชาวญี่ปุ่นผู้มีสุขภาพดีอายุ 30-60 ปี ที่ตรวจเลือดแล้วพบเอนไซม์ตับสูงกว่าปกติ ดื่มน้ำมันเทศเนื้อสีม่วงแล้วทดสอบการอักเสบของตับด้วยการตรวจเลือด จากการทดลองพบว่าการบริโภคมันเทศในรูปเครื่องดื่มอาจช่วยลดเอนไซม์ตับซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะตับอักเสบได้อย่างมีนัยยะสำคัญ แต่การวิจัยนี้ทดลองในประชากรบางกลุ่ม และยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ใดรับรองประสิทธิผลในด้านดังกล่าว จึงควรมีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมต่อไป

ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของมันเทศ 
          สารสำคัญที่พบ ได้แก่ Aesculetin, Alanine, Amyrine, Arginine, Caffeic, Caffeic acid, Campesterol, β-carotene, Chlorogenic acid, Querecetin, Sitosterol, Stigmasterol เป็นต้น
  1. สารสกัดจากหัวมันเทศด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิดทั้งแกรมบวกและแกรมลบ
  2. หัวมันเทศมีฤทธิ์ต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย ยับยั้งการสร้างเมลานิน เร่งการสมานแผล ฆ่าพยาธิ และช่วยลดคอเลสเตอรอล
  3. เมื่อปี ค.ศ.1978 ที่ประเทศอินเดียได้ทำการศึกษาทดลองโดยให้สารสกัดจากมันเทศกับหนูทดลอง ภายหลังการทดลองพบว่าหนูทดลองมีไขมันในเลือดลดลง
  4. เมื่อปี ค.ศ.2003 ที่ประเทศจีนได้ทำการศึกษาทดลองให้สารสกัดจากมันเทศกับหนูทดลองที่ให้อาหารจนไขมันในเลือดสูง ภายหลังการทดลองพบว่า ระดับไขมันในเลือดลดลง คอเลสเตอรอล และระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
  5. เมื่อปี ค.ศ.2005 ที่ประเทศจีนได้ทำการทดลองโดยใช้หนูที่ให้สารไขมันจนมีไขมันในเลือดสูงและเกิดภาวะไขมันในตับสูง ทำการทดลองให้ Polysaccharides ซึ่งสกัดจากมันเทศ โดยใช้เวลาทำการทดลองนาน 8 สัปดาห์ ภายหลังการทดลองพบว่า ระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ลดลง มีระดับไขมันในตับลดลง
ประโยชน์ของมันเทศ 
  1. หัวมันเทศมีคุณประโยชน์มาก เพราะใช้เป็นอาหารของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี เราสามารถนำมันเทศมาใช้ปรุงอาหารได้ทั้งคาวและหวาน โดยอาหารหวาน ได้แก่ มันเทศแกงบวด มันเทศต้มน้ำตาล มันเทศเชื่อม มันเทศกวน มันเทศฉาบ มันเทศทอด มันเทศเผา มันเทศรังนก หรือนำมานึ่งกิน เป็นต้น ส่วนอาหารคาวก็ได้แก่ แกงเลียง แกงกะหรี่ แกงมัสมั่น แกงคั่ว เป็นต้น
  2. ส่วนชาวลั้วะและชาวไทใหญ่จะใช้หัวนำมานึ่งกินกับน้ำพริก
  3. หัวมันเทศเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตชั้นดีที่ให้พลังงานโดยไม่ก่อพิษต่อร่างกายแบบอาหารที่แปรรูปจากแป้งและน้ำตาลแบบอื่น ๆ จึงสามารถนำมาใช้รับประทานแทนข้าวได้ 
คุณค่าทางโภชนาการของหัวมันเทศต่อ 100 กรัม ประกอบไปด้วย 
  • พลังงาน 100 แคลอรี
  • แป้ง 25 กรัม
  • โปรตีน 1.7 กรัม
  • ไขมัน 0.3 กรัม
  • น้ำ 70 กรัม
  • เถ้า 1 กรัม
  • แคโรทีน (เฉพาะในเนื้อหัวสีเหลือง) 2,000-5,000 หน่วย
  • วิตามินบี 1 0.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.05 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 3 0.7 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 25 มิลลิกรัม เป็นต้น
ส่วนของยอดอ่อนมันเทศก็สามารถนำมาใช้รับประทานเป็นผักได้เช่นกัน โดยนำมาทำแกง เช่น แกงส้ม หรือนำลวกจิ้มกับน้ำพริก

คุณค่าทางโภชนาการของยอดอ่อนมันเทศต่อ 100 กรัม ประกอบไปด้วย 
  • พลังงาน 48 แคลอรี
  • แป้ง 9.2 กรัม
  • โปรตีน 3.6 กรัม
  • ไขมัน 0.7 กรัม
  • น้ำ 85 กรัม
  • เถ้า 1.5 กรัม
  • แคโรทีน 6,000 หน่วย
  • วิตามินบี 1 0.12 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.24 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 3 0.09 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 27 มิลลิกรัม เป็นต้น
  1. ชาวปะหล่องจะใช้ลำต้นใต้ดินนำมานึ่งหรือต้มรับประทานหรือนำไปแกง นอกจากจะใช้เป็นอาหารของมนุษย์แล้ว เรายังใช้เป็นอาหารสำหรับสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย เช่น ใช้เป็นอาหารวัว ควาย หมู กระต่าย เป็ด ไก่ ปลา และอาหารแพะ เป็นต้น โดยส่วนที่นำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ก็ใช้ได้ทั้งหัว เถา และใบ บางแห่งมีการปลูกมันเทศเพื่อใช้เลี้ยงหมูโดยเฉพาะ คือ เมื่อมันเทศทอดยอดและลงหัวดีแล้วก็ปล่อยให้สุกรลงไปกินยอด กินใบ และขุดหัวกินเอง
  2. ในด้านอุตสาหกรรม มันเทศยังถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ใช้ทำแป้ง เส้นก๋วยเตี๋ยว ทำเหล้า ทำแอลกอฮอล์ กาว ทำน้ำส้ม ทำขนม ขนมคบเคี้ยว อาหารบรรจุกระป๋อง ใช้เป็นส่วนผสมในอาหารเด็ก เป็นต้น
  3. หัวมันเทศ (โดยเฉพาะเนื้อสีเหลืองหรือสีส้ม) และใบ จะมีสารเบตาแคโรทีนสูงมาก ซึ่งมีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา
  4. หัวมันเทศเนื้อสีม่วงจะมีสารแอนโทไซยานินสูง ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย
  5.  วิตามินซีที่มีอยู่ในมันเทศ ถึงแม้มันจะมีอยู่ไม่มาก แต่มันก็มีส่วนช่วยชะลอวัย บำรุงผิวพรรณ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสวยงามได้เช่นกัน 
  6. ใยอาหารหรือไฟเบอร์ที่มีอยู่ในมันเทศนั้นเรียกได้ว่ามีปริมาณที่ค่อนข้างสูงอยู่พอสมควรเลยทีเดียว เมื่อเรารับประทานเข้าไปแล้วจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนาน ทำให้ไม่อยากรับประทานอาหารอื่น ๆ 
  7. เพิ่มเติม มันจึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการช่วยลดน้ำหนักของคุณทางอ้อมได้ อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่ระบุไว้ชัดเจนว่ามันเทศสามารถช่วยลดระดับไขมันในเลือดได้ ดังนั้นคุณจึงไม่ต้องกังวลว่ารับประทานมันเทศบ่อย ๆ แล้วจะทำให้คุณอ้วนขึ้น โดยมีคำแนะนำว่าให้รับประทานมันเทศในช่วงเช้า (09.00-11.00 น.) เป็นประจำ ก็จะช่วยทำให้รูปร่างของคุณดูดีขึ้นมาได้ ด้วยความที่มันเทศมีเส้นใยอาหารสูง จึงช่วยป้องกันอาการท้องผูกได้เป็นอย่างดี 
  8. หลายท่านคงประสบกับปัญหาเหน็บชากิน เวลานั่งหรือยืนโดยไม่เปลี่ยนท่า หรือนั่งทับเท้าเป็นเวลานาน ใครที่เป็นบ่อย ๆ ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือหัวมันเทศนั่นเอง
ความปลอดภัยในการบริโภคมันเทศ

แม้มันเทศจะเป็นพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ มีรสชาติอร่อย ราคาถูก รับประทานง่าย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ในมันเทศมีสารออกซาเลต (Oxalates) ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงเกิดนิ่วในไตได้ นอกจากนั้น ยังเคยมีประกาศจากกระทรวงสาธารณสุขไทยว่าด้วยเรื่องสารพิษตกค้างในอาหาร ซึ่งพบว่ามันเทศเป็นหนึ่งในอาหารที่มีสารพิษบางชนิดตกค้างอยู่ ดังนั้น ผู้บริโภคจึงควรระมัดระวังในการบริโภคมันเทศ และทำตามคำแนะนำในการบริโภค เช่น

  1. การเลือกมันเทศ เลือกหัวที่แน่น สีเข้ม มีผิวเรียบ ไม่มีรอยเหี่ยวช้ำ รู หรือรากงอกออกมา เนื้อมันเทศที่หั่นแล้วก็เช่นเดียวกัน ไม่ควรเลือกมันเทศที่มีรูหรือรอยใด ๆ เพราะร่องรอยเหล่านั้นอาจเป็นสาเหตุทำให้มันเทศเสียรสชาติได้
  2. การล้างมันเทศ ควรล้างมันเทศให้สะอาด เพื่อกำจัดสารพิษหรือสิ่งตกค้างก่อนนำไปปรุงอาหาร
  3. การประกอบอาหาร ไม่ควรปอกเปลือกมันเทศออกในขณะทำให้สุก เพราะอาจทำให้สารอาหารที่อยู่บริเวณใกล้กับเปลือกต้องเสียไป และมันเทศมีเปลือกที่ลอกออกได้ง่าย จึงสามารถปอกเปลือกได้ด้วยส้อมหลังจากทำให้สุกแล้ว ทั้งนี้ ไม่ควรนำมันเทศชนิดต่างกันมาประกอบอาหารในเวลาเดียวกัน เพราะมันแต่ละชนิดจะสุกได้ด้วยความร้อนและเวลาที่ต่างกัน และควรรับประทานมันเทศที่ปรุงสุกแล้วเท่านั้น
  4. การเก็บรักษามันเทศ ทำความสะอาดภายนอกของหัวมัน แต่ไม่ควรล้างมันเทศก่อนเก็บ เพราะอาจทำให้เน่าเสียได้ง่าย โดยควรเก็บมันเทศดิบไว้ในที่ที่มีความเย็นประมาณ 12-15 องศาเซลเซียส เพื่อให้มันเทศยังสดใหม่อยู่เสมอ เช่น ตู้เก็บอาหาร ห้องใต้ดิน หรือโรงรถ แต่ไม่ควรเก็บมันเทศไว้ในตู้เย็น เพราะอาจทำให้เนื้อมันเทศแข็งและเสียรสชาติ ทั้งนี้ หากเก็บรักษามันเทศอย่างเหมาะสม อาจทำให้เก็บมันเทศไว้ได้ประมาณ 1 เดือนหรือนานกว่านั้น แต่หากเก็บมันเทศไว้ที่อุณหภูมิห้อง ผู้บริโภคควรปรุงอาหารและรับประทานมันเทศภายใน 1 สัปดาห์หลังซื้อ
ข้อมูลจากเว็บไซต์เมดไทยi